สุนทรียภาพของชีวิต

หน่วยการเรียนที่ 1
 สุนทรียศาสตร์  และสุนทรียภาพ
1.1   ความหมายของสุนทรียศาสตร์และสุนทรียภาพ
มีผู้ให้คำนิยามความหมายของสุนทรียศาสตร์ไว้หลายความหมายตัวอย่างคำนิยามที่เข้าใจได้ ง่าย ๆ  มีดังต่อไปนี้
1.1.1 พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน  2532  ได้ให้ความหมายว่า  สุนทรียศาสตร์เป็นปรัชญาสาขาหนึ่ง  ที่ว่าด้วยความงามและสิ่งที่งามทั้งในงานศิลปะทั้งในธรรมชาติ  โดยศึกษาประสบการณ์  คุณค่าความงามและมาตรฐานในการวินิจฉัยว่า  อะไรงามอะไรไม่งาม
1.1.2 กีรติ  บุญเจือ (2522 : 268)  ให้ความหมายไว้ว่า  สุนทรียศาสตร์เป็นวิชาว่าด้วยสิ่งที่สวยงามหรือไพเราะเพราะพริ้ง
1.1.3  สุชาติ  สุทธิ  (2542 : 8)  ได้ให้ความหมายไว้ว่า  สุนทรียศาสตร์มาจากความหมายดั้งเดิมสมัยกรีกโบราณคือ  Aisthenathai   ซึ่งหมายถึงการรับรู้อย่างหนึ่งและสิ่งที่รับรู้อีกอย่างหนึ่ง  ทั้งสองอย่างรวมกันเป็นคำเดียวคือ  Aithetiko  หมายถึง  สิ่งที่เกี่ยวกับความรู้สึกรับรู้
จะเห็นได้ว่าความหมายของสุนทรียศาสตร์ทั้ง  3  ความหมายดังกล่าว  ล้วนเกี่ยวข้องกับคุณค่าทางการรับรู้เกี่ยวกับความงามและความไพเราะ  คำว่าสุนทรียศาสตร์ [Aesthetics]  เป็นคำนาม  หมายถึง  วิชาว่าด้วยความงาม  ถ้าต้องการใช้เป็นคำคุณศัพท์  จะเขียนว่า  สุนทรียภาพ [Aesthetic]  หมายถึง  ความรู้สึกถึงคุณค่าของสิ่งที่งาม  รวมถึงความไพเราะของเสียง  และความงดงามของท่าทางการเคลื่อนไหว
 1.2 สุนทรียศาสตร์กับความเป็นมนุษย์
 มนุษย์และสัตว์มีอวัยวะหลาย ๆ อย่างที่เหมือนกัน  จนถึงบางครั้งเรามักจะเรียกพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ที่มนุษย์แสดงออกมาว่าเป็นสัญชาติญาณสัตว์สิ่งเดียวที่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ได้ชัดเจนก็คือ  มนุษย์มีสมองที่สามารถคิดสร้างสรรค์ และพัฒนาการทางความคิด  การกระทำให้เกิดเป็นแบบแผนที่ดีขึ้นตามลำดับ  มนุษย์รู้จักวางมาตรฐานความดีและความชั่ว  มนุษย์รู้จักแยกแยะอะไรงามอะไรน่าเกลียด  และมนุษย์รู้จักคิดโดยใช้เหตุใช้ผล  ดังนั้นความคิดของมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่ควรศึกษา
1.2.1       มนุษย์กับความคิด
โดยธรรมชาติมนุษย์ทุกคนมีความอยากรู้อยากเห็น และความสงสัยในความเป็นไปของชีวิตและธรรมชาติ    ปัญหาต่าง ๆ   ที่มนุษย์ได้พยายามหาคำตอบ    บางปัญหาสามารถอธิบายได้ชัดแจ้ง    แต่ก็ยังมีอีกหลายปัญหา  ที่ไม่สามารถหาคำตอบได้  บางปัญหาแม้จะตอบได้แต่ก็ยังมีข้อสงสัยเหลืออยู่โดยธรรมชาติมนุษย์ช่างคิดช่างสงสัย  เราสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์โลกทั่วไปได้  มนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้จักใช้ความคิด     และมีสติปัญญา   ความคิดและสติปัญญาจะนำไปสู่การปฏิบัติ    การสร้างสรรค์  อันเป็นพัฒนาการสำคัญของสังคมที่นำมาซึ่งการเจริญรุ่งเรืองอย่างทุกวันนี้  ความสงสัยของมนุษย์เกี่ยวกับชีวิตและธรรมชาติแวดล้อม  ก่อให้เกิดคำถามว่า  ความจริงคืออะไร
            ความจริง  (The  Reality)  ในที่นี้หมายสิ่งที่เป็นนิรันดร์  ไม่มีการเปลี่ยนแปลง    ร่างกายของคน  ในทัศนะของนักปรัชญานั้นร่างกายของคนไม่ใช่ความจริง  เพราะมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เด็กจน     เติบใหญ่  จนแก่เฒ่าชราและตายไป  การเปลี่ยนแปลงมีอยู่ตลอดเวลา  ดังนั้นถ้าจะถามว่า  อะไรคือแก่นแท้  หรืออะไรคือความจริงของชีวิตเรา  อาจตอบได้  3  ทัศนะ  คือ
ก.         จิตนิยม  เชื่อว่า  ความจริงคือจิตหรือวิญญาณ      ร่างกายคนประกอบด้วย    เนื้อหนังและจิตวิญญาณ  ร่างกายเนื้อหนังจะเปลี่ยนแปลงเติบโต  พัฒนาและเสื่อมโทรม  เมื่อตายไปก็จะสลายตัวหรือเปลี่ยนแปลงไป  ส่วนที่เป็นอมตะ   นิรันดร์กาลคือ  จิต  หรือวิญญาณของมนุษย์  ดังนั้นสิ่งจริงแท้ของชีวิตคือจิต  หรือวิญญาณนั่นเอง  พวกจิตนิยมเชื่อว่า  พระเจ้ามีจริง  พระเจ้าคือจิตดวงใหญ่  ที่ให้กำเนิดดวงจิตหรือชีวิตมนุษย์  พระเจ้าสร้างมนุษย์  พระเจ้าสร้างโลก  พระเจ้าสร้างจักรวาล
ข.    วัตถุนิยม เชื่อว่า  ร่างกายของคนคือเซลล์เล็ก ๆ  ที่ประกอบเป็นเนื้อหนังมังสา เป็นอวัยวะต่าง ๆ  ร่างกายคือ     เครื่องจักรที่สามารถทำงานด้วยระบบกลไกของอวัยวะ  ไม่มีจิตวิญญาณ  การตายคือ  การที่เครื่องจักรไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป   เป็นการเน่าสลายของเนื้อหนังจนกลายเป็นธาตุธุลีวัตถุ  กลายเป็นอะตอมหรือพลังงานซึ่งคือสิ่งที่เป็นนิรันดร์  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป  พวกวัตถุนิยมเชื่อว่า  สิ่งจริงแท้ของชีวิตและจักรวาลล้วนเป็นวัตถุเพียงอย่างเดียว  ไม่มีพระเจ้า  ไม่มีสวรรค์  ไม่มีนรก  ชีวิต  โลก  และจักรวาลกำเนิดขึ้นตามอุบัติการของธรรมชาติ
ค.    ทวินิยม  เป็นทัศนะที่ประนีประนอมทัศนะจิตนิยมกับวัตถุนิยมไว้ด้วยกัน  เชื่อว่าถึงแม้ความคิดของมนุษย์จะแบ่งเป็นสองขั้วสองฝ่ายก็ตาม  แต่ก็ยังสามารถประสานความคิดทั้งสองฝ่ายได้  ทัศนะนี้เชื่อว่าความจริงคือทั้งสองอย่าง  ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ  ร่างกายและจิตคือสิ่งจริงแท้
1.2.2       คุณค่าความเป็นมนุษย์
การที่มนุษย์ได้หาคำตอบจากปัญหาที่ว่า  ความจริงคืออะไร  ไม่ว่าจะเป็นทัศนะของจิตนิยม  หรือวัตถุนิยม     ทุกคำตอบต่างก็มีเป้าหมายหลักอยู่ที่การดำรงอยู่ของชีวิต    ซึ่งเป็นความเชื่อเบื้องต้นที่กำหนดบทบาททางพฤติกรรมและความประพฤติของคนเราให้อยู่ในแนวทางหรือมาตรฐานเดียวกัน เช่น คนที่เชื่อว่าความจริงขึ้นอยู่กับจิต  พระเจ้ามีจริง  พระเจ้าสร้างมนุษย์    มนุษย์ต้องแสดงความเคารพนับถือต่อพระเจ้า ก็จะสร้างวิหารเพื่อเป็นที่สิงสถิตย์หรือเป็นที่กราบไหว้บูชาพระเจ้า เกิดพิธีกรรมต่าง ๆ เกิดการเริงระบำเพื่อบูชาถวายพระเจ้า เกิดดนตรีเพื่อสวดสรรเสริญพระเจ้า เกิดการเสริมแต่งเพื่อให้เกิดสิ่งสวย ๆ งาม ๆ เพื่อเสริมพิธีกรรมให้ดูดี   ดูขลัง     และมีการกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับความดีให้เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน เพื่อให้สอดคล้องกับความเชื่อของตน สิ่งเหล่านี้คือข้อกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์  มาตรฐานทางพฤติกรรมที่ดี ย่อมนำมาซึ่งการพัฒนาสังคม   ทำให้สังคมอยู่ได้อย่างปกติสุข  สำหรับคนที่เชื่อว่าความจริงขึ้นอยู่กับวัตถุ  จะมีมาตรฐานควบคุมพฤติกรรมของคนโดยใช้หลักกฎหมาย        และจะให้ความสำคัญต่อความเจริญ ความสมบูรณ์พูนสุขในโลกปัจจุบัน    ด้วยเหตุนี้  คุณค่าของความเป็นมนุษย์   จึงควรมีมาตรฐานอย่างน้อย 3  ด้าน  คือ
1)    จริยศาสตร์[Ethics] เป็นมาตรฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ทาง จริยธรรม จริยศาสตร์  เป็นศาสตร์ว่าด้วยมาตรฐาน  การกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์  ว่าอย่างไรคือความดี  อย่างไรคือความชั่ว  คุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่ได้รับการยกย่องประการแรกก็คือ  ความดี 
2)    สุนทรียศาสตร์  [Aesthetics ]        เป็นมาตรฐานเกี่ยวกับการรับรู้ความงาม        เป็นคุณค่าอีกอย่างหนึ่ง   ซึ่งแตกต่างจากความดี   คุณค่าทางความงามเป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิดจากการสัมผัส  เช่น เมื่อเราเห็นภาพดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าระหว่างขอบน้ำทะเลยามเย็น เราจะมองเห็นความงาม ความงามจะทำให้เราเกิดความพอใจ    ความยินดีหรือความสุข    เมื่อเราสัมผัสกับสิ่งสวยงามทำให้เราสามารถแยกแยะวัตถุที่มีความงามว่ามีความโดดเด่น      หรือแตกต่างจากวัตถุธรรมดาทั่วไปได้    ทำให้เราเข้าใจว่าอะไรทำให้เกิดความงดงาม  เราก็อาจนำความเข้าใจนั้นมาเป็นหลักการสร้างความงามหรือสร้างสรรค์งานศิลปะขึ้นมา
สิ่งสวยงามคือคุณค่าของความเป็นมนุษย์อีกประการหนึ่งที่เราจะละเลยไม่ได้  ถึงแม้มนุษย์จะประกอบคุณงามความดีเพียงใด  แต่ถ้าเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่  เนื้อตัวเสื้อผ้าสกปรก  ก็ยังคงเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป   ดังนั้น    การแต่งกาย      การปรุงเเต่งบุคลิกหน้าตา  จึงเป็นปัจจัยในคุณค่าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในความเป็นมนุษย์  พิธีกรรมต่าง ๆ ทางศาสนาเป็นกิจกรรมต้องการปรุงแต่งให้เกิดความงาม  วิหารของเทพเจ้าย่อมต้องการความงามกว่าบ้านธรรมดา  เพลงสวดเพื่อสรรเสริญเทพเจ้าต่างๆ  ย่อมต้องมีความไพเราะเสนาะหู  คุณค่าทางด้านความงามดังกล่าวนี้เราเรียกว่า  สุนทรียภาพ  ในทางปรัชญาเรียกว่า  สุนทรียศาสตร์
           3) ตรรกศาสตร์ [Logics] คือมาตรฐานทางคุณค่าส่วนที่จะเสริมให้มนุษย์มีความสมบูรณ์ขึ้นเป็นคุณค่าทางปัญญา   ความคิด  กล่าวคือ  นอกเหนือจากมาตรฐานทั้ง 2 ด้านดังกล่าวมนุษย์ยังต้องมีความคิดและวิจารณญาณที่ดี  รู้จักใช้เหตุใช้ผล  ไม่หลงงมงาย  มีสามัญสำนึกที่ดี  มีโลกทัศน์ที่ดี  และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลศาสตร์ว่าด้วยความคิด





                                             หน่วยการเรียนที่ 2

                             สุนทรียศาสตร์เชิงความคิดและเชิงพฤติกรรม


2.1       สุนทรียศาสตร์เชิงความคิด
ความเข้าใจในเรื่องเพศ   ความรัก  ความงาม  เป็นสัญชาตญาณเบื้องต้นของคนและสัตว์ทั่วไป     เราสามารถสังเกตได้จากสัตว์ประเภทนกบางชนิด    เช่น    นกยูง    เมื่อถึงฤดูสืบพันธุ์    ตัวผู้จะเริ่มมีขนปีกขนหางที่สวยงามกางปีกรำแพนหาง   พร้อมกับส่งเสียงขันเจื้อยแจ้วเพื่อดึงดูดความสนใจ  จากตัวเมีย  ลักษณะเหล่านี้เกิดขึ้นในทำนองเดียวกันกับสัตว์อื่น ๆ อีกหลายชนิด   กล่าวได้ว่า   แท้ที่จริง    ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ทั่วไป  ย่อมพอใจยินดีกับสิ่งที่สวยงาม  สิ่งที่ไพเราะเพราะพริ้งมาโดยกำเนิดการศึกษาหาคำตอบเกี่ยวกับศาสตร์ที่ว่าด้วยความงามจึงไม่ใช่เรื่องยาก    เพราะเราเข้าใจในความงามเป็นพื้นฐานของชีวิตอยู่แล้ว  การเข้าใจลักษณะนี้เป็นความเข้าใจในสุนทรียศาสตร์หรือการเข้าถึงความงาม   ด้วยวิธีการคิดเป็นเหตุและผล 
2.1.1       สุนทรียศาสตร์เชิงความคิดเเนวตะวันตก
ถ้าจะตั้งคำถามว่า   สิ่งแท้จริงของความงามอยู่ที่ใด  เช่น  เมื่อมองเห็นดอกไม้งาม  ถ้าจะถามว่า  ความงามอยู่ที่กลีบ  อยู่ที่สี  อยู่ที่ช่อหรืออยู่ที่ใบ  หรือว่าอยู่ในใจของเรา  ปริศนาคำถามเหล่านี้  ย่อมต้องการคำอธิบายมากมาย  นักปรัชญาตะวันตกได้มีข้อถกเถียงโต้แย้งในเรื่องแก่นแท้ของความงามมาหลายศตวรรษมาแล้ว  แม้จะยังไม่ได้ข้อสรุปหรือคำตอบเป็นที่น่าพอใจ  ก็พอที่จะสรุปความคิดได้  2  ทัศนะคือ
1) ปรนัยนิยม [Objiectivism]  เป็นทัศนะที่อธิบายว่า  ความงามเป็นคุณสมบัติของวัตถุ  ความงามอาจเกิดจากรูปร่าง  ทรวดทรง  สีสันของวัตถุ  แบบแผนลีลาการเคลื่อนไหว  หรือเกิดจากความประสานไพเราะของเสียง  วัตถุที่มีความงาม  การเคลื่อนไหวที่งดงาม  หรือเสียงที่ไพเราะย่อมเกิดจากปัจจัยคุณสมบัติภายนอก  คือ  ตัววัตถุ  ซึ่งตรงกับคุณสมบัติของความงามอยู่ในตัว  ความงามเเละความไพเราะและลีลาการเคลื่อนไหวที่งดงามจะต้องมีมาตรฐานของตัวเอง
2) อัตนัยนิยม [Subjectivism]  เป็นทัศนะที่คิดว่า   ความงามเป็นเรื่องความรู้สึกอยู่ในใจของคน  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัตถุสิ่งของที่เรามองเห็นหรือสิ่งที่เราได้ยิน  ใจของเราเป็นตัวกำหนดว่า  สิ่งที่เรามองเห็นงามหรือไม่งาม  เสียงที่เราได้ยินไพเราะ  หรือไม่ ทุกอย่างล้วนเกิดความคิดในใจ จากความรู้สึกภายในทั้งสิ้น วัตถุชนิดเดียวกันคนหนึ่งอาจเห็นว่างาม   แต่อีกคนอาจเห็นว่าไม่งามก็ได้     เช่นเดียวกับการฟังเพลงเดียวกัน คนหนึ่งบอกว่าไพเราะแต่อีกคนบอกว่าไม่ไพเราะ     ซึ่งการมองเห็นหรือการได้ยินของบุคคลทั้งสองถือว่าถูกทั้งคู่ ความงามจึงไม่มีมาตรฐานหรือกฎเกณฑ์ที่แน่นอนขึ้นจากความคิดความรู้สึกของผู้ที่สัมผัสเป็นหลัก



2.1.2       สุนทรียศาสตร์เชิงความคิดแนวตะวันออก
โดยพื้นฐานทางความคิดของนักปรัชญาตะวันออกจะแตกต่างจากตะวันตก  ชาวตะวันออกมักมองสิ่งต่างๆเป็นองค์รวม ไม่นิยมมองแบบแยกส่วนย่อยๆ อย่างชาวตะวันตก พื้นฐานความคิดของชาวตะวันออกจะมีรากเหง้ามาจากปรัชญาของลัทธิพราหมณ์  ซึ่งสนใจองค์รวมของส่วนประกอบของสื่อที่จะทำให้เกิดความงามสื่อดังกล่าวได้แก่
วัตถุ  คือ  สิ่งที่สามารถสัมผัสจับต้องได้  ในที่นี้รวมถึงกริยา  อาการ  และเสียงที่เราสัมผัสด้วย
ความงาม  คือ คุณค่าที่แฝงอยู่ในตัววัตถุสามารถสัมผัสได้จากวัตถุที่มีความงาม  เสียงที่ไพเราะ  หรือกริยาท่าทางการเคลื่อนไหว  ที่มีลีลาน่าดูน่าชม
มนุษย์  คือ  ผู้รับสื่อ  อันได้แก่วัตถุหรือเสียงที่มีความงามหรือความไพเราะ  ถ้าไม่มีผู้รับสื่อก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามีความงามอยู่
รสนิยม  คือ  ความสามารถในการรับรู้สามารถ แยกแยะระดับความงามความไพเราะได้ เช่น จิตรกรสามารถรับรู้ความงามของดวงอาทิตย์ตกดิน หรือ คีตกวีสามารถรับรู้ความไพเราะของเสียงลมพัดที่ประสานกับเสียงนกร้อง  เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าตามความคิดเกี่ยวกับความงามแนวตะวันออก  เห็นว่า  ความงามและความไพเราะนั้น  จะเกิดขึ้นด้วยส่วนประกอบเพียงส่วนเดียวไม่ได้  ต้องเกิดขึ้นจากองค์รวมพร้อม ๆ กัน

2.2 สุนทรียศาสตร์เชิงพฤติกรรม
มนุษย์ไม่เคยหยุดนิ่ง  ชอบสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา  เมื่อมนุษย์ได้สัมผัสคุณค่าความงามจากธรรมชาติหรือสิ่งที่มนุษย์ด้วยกันสร้างขึ้นมา  ก่อให้เกิดความคิดและจินตนาการขึ้น  ส่งผลถึงการแสดงออกเป็นพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น   การวาดภาพ   การปั้น-แกะสลัก   การก่อสร้าง   การประพันธ์  การร่ายรำ  การเรียบเรียงเสียงประสาน  เป็นต้น  พฤติกรรมต่าง ๆ ดังกล่าวส่งผลให้เกิดเป็นผลงานศิลปะขึ้นมามากมาย  เมื่อเวลาผ่านพ้นไป  ความคิด  จินตนาการและเทคนิควิธีการสร้างสรรค์ผลงาน  ได้รับการสืบทอดต่อ ๆ กันมา  จนเกิดเป็นศิลปวัฒนธรรมของกลุ่มชนนั้น ๆ และพัฒนาต่อเนื่องจนอิ่มตัวถึงขั้นเป็นแบบอย่างเฉพาะของแต่ละกลุ่มชน  ตั้งแต้ระดับพื้นบ้าน  จนถึงระดับชาติ  พฤติกรรมการสร้างสรรค์วัตถุแห่งความงามดังกล่าว  สามารถจัดรวมเป็นหมวดหมู่  หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกทางสุนทรียภาพ  3  ทางคือ
ก.      พฤติกรรมทางภาพลักษณ์
ข.      พฤติกรรมทางเสียง
ค.      พฤติกรรมทางการเคลื่อนไหว
ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวของตะวันตก   และตะวันออกเกิดจากพื้นฐานความคิด เเละจินตนาการที่   แตกต่างกัน


2.2.1       สุนทรียศาสตร์เชิงพฤติกรรมแนวตะวันตก
ความคิดและจินตนาการของชาวตะวันตกเกิดขึ้นนับย้อนไปตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ  เชื่อว่าธรรมชาติคือต้นแบบของการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ตามทัศนะของกรีก  คือ  การเลียนแบบธรรมชาติ  ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหาความสมบูรณ์ของวัตถุสิ่งของตามความเป็นจริงหรือตามลักษณะที่ได้สัมผัสรับรู้  ภายหลังต่อมาการเลียนแบบดังกล่าว  มิได้จำกัดเฉพาะธรรมชาติ  หากแต่รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ อีกด้วย  บ่อเกิดของสุนทรียศาสตร์เชิงพฤติกรรมแนวตะวันตก พัฒนาจากการเลียนแบบธรรมชาติ  ก่อนแล้วจึงพัฒนาไปสู่การสร้างสรรค์เพื่อคริสตศาสนา  จนกระทั่งถึงการแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของศิลปินโดยส่วนตัวอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
2.2.2       สุนทรียศาสตร์เชิงพฤติกรรมแนวตะวันออก
ศิลปะตะวันออกแตกต่างไปจากศิลปะของโลกตะวันตก   ซึ่งความจริงแล้วความแตกต่างนี้ก็คือความแตกต่างทางศาสนาของตะวันออกกับคริตศาสนานั่นเอง  ศิลปะตะวันออก  มีพื้นฐานความเชื่อ  ศรัทธาในศาสนา เช่น  พุทธศาสนา  ศาสนาพราหมณ์  ศาสนาอิสลาม เป็นต้น  คุณค่าทางสุนทรียภาพ  จึงเป็นคุณค่าความงามที่เกิดจากความคิดและปรัชญา [ Ideal  Beauty ]  อันมีที่มาจากศาสนานั่นเอง  ถึงแม้จะมีจุดกำเนิดจากธรรมชาติเช่นเดียวกับตะวันตกก็ตาม  แต่ผลที่ออกมากลับแตกต่างกันชาวตะวันออกจะเสริมเติมแต่งอุดมคติ                 ตามความเชื่อของแต่ละชนชาติไว้ด้วยเป็นสำคัญ
การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ  คือสิ่งบ่งชี้ถึงรากเหง้าของวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของตะวันตกและตะวันออก  เป็นผลที่เกิดจากพฤติกรรมเชิงสุนทรียภาพ ภายใต้ชื่อเรียกว่า  ศิลปะ ที่ตกทอดมาหลายชั่วอายุคนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

2.3  ความหมายของศิลปะ
2.3.1       ความหมายทั่วไป   (เพิ่มเติมเนื้อหานำ)
คำว่า  ศิลปะ”  ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Art”   หมายถึง  ฝีมือทางการช่าง  การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น  โดยเฉพาะความหมายถึงวิจิตรศิลป์ (ราชบัณฑิตยสถาน,2530) ก็ได้หรืออาจจะหมายถึง  ผลแห่งพลังความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่แสดงออกในรูปลักษณ์ต่าง ๆ ให้  ปรากฏซึ่งสุนทรียภาพ    ความประทับใจ  หรือความสะเทือนอารมณ์ตามอัจฉริยภาพ   พุทธิปัญญา   ประสบการณ์    รสนิยมและทักษะของแต่ละคน  เพื่อความพอใจ  ความรื่นรมย์ ขนบธรรมเนียม  จารีตประเพณีหรือความเชื่อในแต่ละศาสนา (ราชบัณฑิตยสถาน,2530) ก็ได้  นอกจากนั้น  ยังหมายถึงงานช่างที่แสดงฝีมือและความคิดของศิลปิน (ราชบัณฑิตยสถาน,2530รวมทั้งหมายถึง  ความสามารถของมนุษย์ในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ (Neufeldlt &Guralnik(Eds.),1994บางท่านให้ความหมายไว้ว่าหมายถึง  สิ่งสร้างสรรค์ที่แสดงออกอย่างสวยงามด้วยฝีมือและความคิดของมนุษย์(Hornby & Cowie,1987)
คำว่า ศิลปะจึงมีความหมายกว้างมาก  อาจสรุปได้ว่าคือ  สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นตามความสามารถและทักษะของตนถ่ายทอดผ่านสื่อต่าง ๆ   โดยได้รับแรงดลใจจากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  ก่อให้เกิดความประทับใจ  ความสะเทือนอารมณ์ 
จากความหมายของศิลปะที่กล่าวมา  อาจอธิบายได้ว่า  ศิลปะคือ  กิจกรรมของมนุษย์หรือศิลปินที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจให้แก่มนุษย์ด้วยกันด้วยความรู้สึกและจิตวิญญาณ 
ศิลปะมีรูปแบบแตกต่างกันไป    อย่างน่ามหัศจรรย์  รูปร่าง  (Shape)  เสียง (Sound) และการเคลื่อนไหว (Movement) ที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมล้วนเป็นสิ่งที่จูงใจศิลปินให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลงานศิลปะได้ทั้งสิ้น  ผลงานศิลปะบางชิ้นสวยงาม  บางชิ้นน่ารังเกียจ  ศิลปะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับมนุษยชาติ  สามารถสื่อความรู้สึกน่าเกรงขาม  มีพลังอำนาจ  น่าพิศวงชวนให้อัศจรรย์ใจ  สะท้อนความยุ่งยากซับซ้อนของจักรวาล  ศิลปะช่วยให้เกิดการค้นพบและชี้ให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
2.3.2  ความหมายเฉพาะ
ในปัจจุบันเราสามารถทำความเข้าใจศิลปะได้จากความหมายต่อไปนี้
ก.             ศิลปะคือ  การเลียนแบบธรรมชาติ (Art is the lmitation of Nature)
ตามความหมายนี้ศิลปะคือ  การถ่ายทอดสิ่งที่ได้สัมผัสจากโลกภายนอก(External  Worldตามความประทับใจในวัตถุและเหตุการณ์  โดยที่ศิลปินอาจเลือกถ่ายทอดเท่าที่จำเป็น  ตามที่ศิลปินเห็นว่าเหมาะสม  การเลียนแบบต่างจากการลอกแบบอย่างมาก  เพราะการลอกแบบนั้นมีคุณค่าเพียงความเหมือนกับต้นฉบับที่สุดเท่านั้น
ข.             ศิลป   คือการสำแดงพลังอารมณ์  (Art is Expression)
ตามความหมายนี้การแสดงออกทางอารม์และความรู้สึกเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์  ศิลปะจึงสะท้อนถึงอารมณ์และความรู้สึกของศิลปินด้วย 
ค.             ศิลป คือสื่อกลางสากลและเป็นภาษาอย่างหนึ่ง (Art is Communication  and  Language)
ตามความหมายนี้ศิลปะเป็นตัวกลางระหว่างผู้สร้าง (ศิลปินและผู้รับรู้(ผู้ชมต่างเข้าใจร่วมกันได้ในรูปแบบที่สื่ออกมา  ศิลปะจะไม่มีข้อจำกัด  ศิลปะสื่อความคิดให้ผู้ดู  ผู้ดูเลือกดูด้วยความพอใจมากกว่า  สัญลักษณ์เป็นสื่อทางกาย  ศิลปะเป็นสื่อทางใจ
ง.             ศิลปะ     คือรูปทรงที่มีนัยสำคัญ (Art is a singnificant from)
ตามความหมายนี้  ศิลปะมีคุณค่าที่รูปทรงเป็นสำคัญ  ผลงานศิลปะทุกชิ้นงามได้ด้วยการจัดองค์ประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างมีเอกภาพ


2.4   กระบวนการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ
            ศิลปะที่ดีนั้นนอกจากมีเรื่องราวแล้ว  จะต้องให้ความงามด้านสุนทรียภาพพร้อมกับให้ความคิดสติปัญญาของศิลปินเป็นสำคัญ
                เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า  ทัศนะของคนเราแต่ละคนนั้น มีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรู้และประสบการณ์  ดังนั้นการที่จะหวังให้ศิลปินแสดงทัศนะให้ตรงกับความต้องการของผู้ดูจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก  ศิลปะก็คือผลงานของการแสดงความรู้สึกนึกคิดเฉพาะตัวของศิลปิน (Self  Expression)  โดยผ่านสื่อออกมาเป็นผลงานศิลปะ  เราอาจเขียนโครงสร้างกระบวนการสรางสรรค์ผลงานศิลปะออกมาเป็นแผนภูมิให้เข้าใจได้ดังนี้

มนุษย์      +           สิ่งแวดล้อม                +           สื่อ              =        ศิลปะ
MAN       +        ENVIRONMENT    +         MEDIA       =                     ART

2.4.1        มนุษย์ เป็นผู้ถ่ายทอดผลงานศิลปะ  โดยได้รับเเรงบันดาลใจจากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  ด้วยความรู้สึกประทับใจหรือความสะเทือนอารมณ์ 
2.4.2        สิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งเร้า       ที่ตัวกระตุ้นให้มนุษย์เกิดอารมณ์ความรู้สึก     และแสดงออกด้วยการถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานศิลปะ  ได้แก่  ธรรมชาติ  ความเชื่อทางศาสนา  เรื่องราวจากวรรณคดี  ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณี  เป็นต้น
2.4.3        สื่อหรือวัสดุ เป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้ถ่ายทอดแรงบันดาลใจที่ได้รับจากสิ่งแวดล้อมออกมาเป็นรูปธรรม  ได้แก่  กระดาษ    สี   เสียง  ท่าทางการเคลื่อนไหว  เป็นต้น
2.4.4        ผลงานศิลปะ (ART)  เป็นผลงานที่เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจในสิ่งแวดล้อมของมนุษย์โดยผ่านสื่อ  ให้ปรากฏเป็นรูปธรรม  ที่เรียกว่า  ผลงานศิลปะ



                                            หน่วยการเรียนที่ 3
                                  แหล่งที่มาของความงาม


ธรรมชาติเป็นสิ่งที่มีลักษณะทั้งทางกายภาพ   และชีวภาพ    อยู่รอบ ๆ   ตัวเราเกิดขึ้นมาเองได้แก่  สิ่งของวัตถุ สารประกอบ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต เช่น มนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ ดิน หิน อากาศ วัตถุธาตุ ฯลฯ  เป็นต้น  สิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวเราสามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง คือ หู  ตา  จมูก  ลิ้น กาย ธรรมชาติจึงเป็นทั้งรูปธรรมและนามธรรม การที่ธรรมชาติมีบทบาทต่อตัวเรา ขึ้นอยู่กับการตอบสนอง  ตามคุณสมบัติเฉพาะหรือศักยภาพของสิ่งนั้น  เราจำเป็นต้องสังเกตุหรือทำความเข้าใจในธรรมชาติเพื่อพัฒนาพื้นฐานของชีวิตด้านอารมณ์ความรู้สึก 

  ลักษณะหรือคุณสมบัติของธรรมชาติอันเป็นแหล่งที่มาของความงามหรือคุณค่าทางสุนทรียภาพแบ่งได้ 3 กลุ่มตามประสาทสัมผัส


3.1  ภาพลักษณ์ (Image)  สัมผัสได้ด้วยประสาทตาดังนี้
3.1.1  รูปร่าง,รูปทรง (Shape,Form)ได้แก่เส้นรอบนอกของพื้นที่,สี,ผิว,มวล และปริมาตร  มีลักษณะคดโค้ง ตรง แบน กลมและส่วนที่เป็นเนื้อที่ภายในมีความกว้าง  ความยาว  ความลึก  เป็นกลุ่มก้อน 3 มิติ  เช่น รูปร่างของดอกไม้ รูปทรงของพุ่มไม้  เป็นต้น
3.1.2   เส้น (Line) ได้แก่ สิ่งที่นำสายตาเคลื่อนไหวไปในทิศทางต่าง ๆ หรืออาจเป็นสิ่งแบ่งพื้นที่หรือกำหนดบริเวณของที่ว่าง,สี,ผิว,มวลวัตถุ  หรือเป็นขอบรอบนอกของรูปร่างรูปทรงเส้นมีลักษณะโค้ง เว้า ตรง ขยุกขยิกไม่แน่นอน หยัก ประ ขาดเป็นช่วง ๆ เห็นได้ด้วยตาและไม่เห็นด้วยตาเป็นนัย
3.1.3  สี (Colour)  ได้แก่  สีสันของสิ่งต่าง ๆ ที่มีลักษณะเฉพาะจากเนื้อแท้ของสิ่งนั้นเปล่งค่าสีให้เราเห็นเป็นสีสันแตกต่างหลากหลาย  เราเรียกสีต่าง ๆ เป็น ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง เป็นต้น
3.1.4   พื้นผิว(Texture)  ได้แก่  ลักษณะผิวหน้าของวัตถุ  ลวดลายของวัตถุ ให้ความรู้สึกหยาบ  ละเอียด  เนียน  มัน  ด้าน  หนัก  แข็ง  ทึบ  เก่าแก่    อ่อน  นุ่ม  เบา  สว่าง    กลมกลืน  น่าสัมผัสหรือไม่น่าสัมผัสอาจจะเป็นลวดลายมีลักษณะแปลกตา
3.1.5  พื้นที่ว่าง  (Space )   ได้แก่     พื้นที่ที่เป็นรูปวัตถุ   (Positive  Space)     เช่น กลุ่มพันธุ์ไม้  ภูเขา  ฯลฯ     และพื้นที่ที่เป็นที่โล่ง   (Open  Space)     หรือไม่ใช่รูปวัตถุ  (Negative  Space)  เช่น  พื้นดิน  สนามหญ้า  พื้นน้ำ  ท้องฟ้า  พื้นที่ที่เป็นที่โล่งจะให้ความรู้สึกสบาย  ปลอดโปร่ง  แต่ถ้าพื้นที่น้อย  หรือแคบจะให้ความรู้สึกอึดอัด  ไม่สบายใจ  ทึบ  ไม่ปลอดภัย
3.1.6   ลวดลาย ( Pattern ) ได้แก่  สิ่งที่ปรากฏมีลักษณะแปลกตา  เกิดจากการรวมตัวของจุด  เส้น  สี  พื้นผิว  เป็นกลุ่ม  ต่อเนื่อง  แบบซ้ำ ๆ ให้ความรู้สึกสวยงาม  น่าทึ่งชวนมอง  ประทับใจ  ทำให้เกิดความคิดเป็นจินตนาการต่าง ๆ เช่น  ลายหินอ่อน  ลายเนื้อไม้สัก  ลายใบไม้  ลายปักแมลง  ผีเสื้อ  เป็นต้น
3.1.7   มวล (Mass)  ได้แก่  พื้นที่ภายนอกของวัตถุที่เกิดจากการรวมตัวของเนื้อในวัตถุ  เช่น     ต้นไม้     มวลของหินหรือการรวมกลุ่มของรูปย่อย ๆ    จำนวนมาก       เช่น คนจำนวนมาก  ต้นไม้จำนวนมาก  รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กถึงกลุ่มใหญ่ ๆ เป็นกลุ่ม
3.1.8   ปริมาตร (Volume)  ได้แก่    พื้นที่ที่กินระวางพื้นที่ในอากาศ  หรือบริเวณว่างของวัตถุ  กำหนดให้เห็นเป็นรูปทรงคือ  มีส่วนของความกว้าง  ความยาว  ความลึกหรือหนา  มีลักษณะเป็น 3 มิติ
ภาพลักษณ์ตามธรรมชาติดังกล่าว  ก่อให้ความเพลิดเพลิน  ความชอบของแต่ละบุคคลเมื่อได้สัมผัส  เป็นคุณค่าที่เกิดจากภาวะสัมพันธ์ระหว่างความสนใจกับสิ่งที่ถูกสนใจ  ถ้าได้ศึกษาจนเกิดความรู้ความเข้าใจ  อาจฝังลึกเป็นรสนิยมทางการรับรู้ความงามด้านทัศนศิลป์  นาฏศิลป์  ต่อไป

3.2   เสียง  [Sound] สัมผัสได้ด้วยประสาทหู  การรับรู้เสียงจากธรรมชาติ  เช่น  การได้ยินเสียงนก เสียงกรีดปีกของแมลง  เสียงน้ำตก  เสียงคลื่นกระทบฝั่ง  ตลอดจนเสียงของมนุษย์  จำแนกได้ดังนี้
3.2.1  คลื่นเสียง (Sound  Wave)  ได้แก่  การอัดขยายตัวของเสียงในอากาศ  เรารับฟัง  เกิดเสียง  ได้ยินเสียง  เช่น  การสั่นสะเทือนของวัตถุ  เกิดเสียงสั้น-ยาว  พลังเสียงร้องของมนุษย์  สัตว์ที่มีอวัยวะที่ก่อให้เกิดเสียง  โดยเฉพาะเส้นเสียง (Vocal  Chord)  เส้นเสียงยาว  เสียงจะมีพิสัยกว้าง  เส้นเสียงสั้น  เสียงจะมีพิสัยค่อนข้างแคบ  เส้นเสียงหนา  เสียงจะค่อนข้างทุ้ม  เส้นเสียงบาง  เสียงจะค่อนข้างแหลม
3.2.2 ระดับเสียง (Pitch)  ได้แก่  การได้ยินเสียงสูง  และเสียงต่ำ  ซึ่งเกิดจากความถี่ (Frequency)  ของการสั่นสะเทือนของต้นเสียง
3.2.3 ความเข้มของเสียง (Intensity)  ได้แก่  ความดังหรือความเบา  ซึ่งขึ้นอยู่กับพลังของการส่งคลื่นเสียง  เช่น  การออกเสียงเบา ๆ แล้วเพิ่มพลังให้เสียงดังมากขึ้น  โดยใช้กล้ามเนื้อที่เส้นเสียง  ควบคุมการเปล่งเสียง  เป็นต้น
3.2.4  ความกว้างของเสียง (Amplitude)  ได้แก่  คลื่นเสียงเทียบกับคลื่นที่เกิดบนผิวน้ำ  คือ  น้ำกระเพื่อมมาก  คลื่นก็จะใหญ่มาก  ดังภาพ

3.2.5 สีสันของเสียง (Timbre หรือ Tone  colour )  ได้แก่  เสียงที่แสดงความแตกต่างของระดับเสียง  ความเข้มของเสียง  คุณภาพของเสียงซึ่งเกิดจากรูปร่าง  ระบบเสียง  สถานที่เกิดเสียง  และปฏิกิริยาโต้ตอบของหูฟัง  เสียงหนึ่ง ๆ ไม่ได้ประกอบด้วยระดับเสียงเพียงเสียงเดียว  แต่มักจะมีระดับเสียงต่าง ๆ เกิดขึ้นพร้อมกัน  เรียกว่า  Partials  (พาร์เชียลจำนวนเสียง  ความเข้มของเสียง  การกระจายพาร์เชียล  ซึ่งประกอบกันเป็นเสียง  นับเป็นตัวกำหนดสีสันของเสียง  เสียงโดมีจำนวนพาร์เชียลน้อย  จะมีเสียงใสและแผ่วเบา  ส่วนเสียงที่มีพาร์เชียลมากจะมีเสียงหนักแน่น  พาร์เชียลอาจจะเรียกว่า  Harmonies  ก็ได้
3.2.6  จังหวะ (Rhythm)  ได้แก่  ความสั้นยาวของเสียง  มีลักษณะสั้นบ้างยาวบ้าง  เป็นการแบ่งจังหวะเสียง การฟังเสียง   จะต้องมีความรู้ทั่วไปทางกายภาพที่เกี่ยวกับการเปล่งเสียง    เราไม่อาจฟังเพลงได้ดี  ถ้าหากเราไม่เข้าใจหลักทางกายภาพ  และกฎการเปล่งเสียงตามหลักวิทยาศาสตร์    และกฎของธรรมชาติ  เสียงที่ก่อให้เกิดความซึ้งใจมากที่สุดคือ  เสียงขับร้องของมนุษย์และเสียงดนตรี 

3.3  การเคลื่อนไหว(Movement)  คือการเปลี่ยนแปลงกริยาเชื่อมต่อระหว่างของสองสิ่งหรือลีลา พลิ้วไหวในตัวเองของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  เช่น  การเคลื่อนไหวของธรรมชาติจำแนกได้ดังนี้

3.3.1 การเคลื่อนไหวด้วยกิริยาทางกายภาพ  เช่น  การเดิน  การวิ่ง  การเอียงตัว  บิดตัว  โยกตัว  เป็นต้น
3.3.2 การเคลื่อนไหวเชื่อมต่อระหว่างของสองสิ่ง  หรือหลาย ๆ สิ่ง  ที่มีลักษณะต่อเนื่องเกี่ยวข้องเป็นจังหวะ
3.3.3 การเคลื่อนไหวตามการเปลี่ยนแปลงค่าของแสงสว่าง  มืด  สลับสับเปลี่ยน  ทำให้สายตาจับภาพกลับไปมารู้สึกภาพเคลื่อนที่
3.3.4 การเคลื่อนไหวเนื่องจากตำแหน่งเลื่อนไหล  เช่น  สิ่งของเคลื่อนตามสายน้ำจากจุดหนึ่งไปสู่จุดหนึ่ง
3.3.5 การเคลื่อนไหวในที่ว่างสัมพันธ์กับเวลา (Space and  Time)  เป็นการเคลื่อนไหวบอกทิศทาง  ได้แก่  การเรียงลำดับความช้าไปสู่ความเร็ว  การเริ่มต้นไปสู่จุดหมายปลายทาง  เช่น  นกบิน  ลมพัดก้อนเมฆ  การไหลของน้ำ    ของตกจากที่สูง  การเคลื่อนไหวของเปลวไฟ  ควันไฟ  ฯลฯ
3.3.6 การเคลื่อนไหวในกฎเกณฑ์ของจักรวาล  เป็นการขับเคลื่อนของสิ่งของที่มีน้ำหนัก  ตกจากที่สูงลงมาในที่ต่ำ  และเคลื่อนในแนวดิ่ง การเคลื่อนไหวรอบแกนกลาง วิ่งเข้าหาแกน วิ่งออกจากแกน
การมองลีลาการเคลื่อนไหว  จะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับท่วงท่า  ทั้งนี้เพื่อจะนำมาซึ่งความรู้สึก  ก่อให้เกิดความสนุกเพลิดเพลินอันเป็นที่มาของความงามทางนาฏศิลป์และการแสดง

3.4  คุณค่าความงามในธรรมชาติ

ประสบการณ์จากการสัมผัสธรรมชาติด้วยประสาททั้ง 5 ทำให้เราเรียนรู้ความงามเบื้องต้น  การสัมผัสธรรมชาติ  ทำให้เราเกิดความพึงพอใจ  สบายใจ  อิ่มใจ  เเละดีใจ  คือ  เห็นความงาม (Beauty)  ความแปลกหูแปลกตา (Pieture squeness)  และความน่าทึ่ง (Sublimity)  ( ไพฑูรย์  พัฒน์ใหญ่ยิ่ง,2541:1) สอนให้มีประสบการณ์ในการตัดสินคุณค่าทางสุนทรียภาพ  คือ  แบ่งระดับของสิ่งสัมผัสได้  เป็นการสัมผัสระดับสูง    เสียงที่ไพเราะ   ภาพที่งดงาม   กิริยาที่นุ่มนวล   เป็นต้นแบบของความเป็นเอกภาพ (Unity)   ความสมบูรณ์  (Complexity)  และความเข้มข้นทางความรู้สึก (Intensity)
ความงามของธรรมชาติเป็นความงามที่เกิดขึ้นจริง เป็นสมบัติของธรรมชาติ  เช่น  เนื้อของธรรมชาติ  กิริยาอาการของธรรมชาติ  ความคล้ายคลึงและการรวมตัวเป็นเอกภาพของธรรมชาติ  และความเข้มข้นที่เกิดจากความแตกต่างของธรรมชาติ  เป็นต้น  เราอาจจะเกิดความประทับใจในคุณสมบัติของธรรมชาติบางขณะ  และเมื่อกาลเวลาผ่านไป   ความประทับใจในคุณสมบัตินั้นอาจจะเปลี่ยนไป   แต่ความจริงคุณสมบัติของธรรมชาติตรงส่วนนั้นมิได้เปลี่ยนไป        เราควรจะเข้าใจว่า       เนื้อของธรรมชาติก็ดีกิริยาธรรมชาติก็ดี  เป็นสมบัติสุนทรียะเฉพาะของวัตถุ  ต้นไม้  และวัตถุทุกชนิดที่ปลูกหรือวางในบริเวณส่วนย่อม  มีผิวพรรณ  มีสัดส่วน  มีขนาด  รูปร่าง รูปทรง  ล้วนแต่น่ามอง  นั่นเพราะว่า  คุณสมบัติของธรรมชาติและวัตถุมีองค์ประกอบด้านต่าง ๆ ดังนี้
3.4.1 ความสมบูรณ์  ได้แก่  ลักษณะอัตราความเจริญเติบโต  การเจริญพันธุ์ของพรรณไม้เป็นอย่างดี  ประกอบกับการดูแลบำรุงรักษาให้ต้นไม้สมบูรณ์ ไม่ทรุดโทรม  หรือคุณค่าของวัตถุที่มีลวดลาย  สีสันผิวพื้นที่ปราศจากตำหนิ และรักษาดูแลให้คงที่เป็นเวลายาวนานที่สุด (ให้ปรับการเขียนใหม่โดยเน้นบูรณาการ)
3.4.2  กิริยาอาการ  จากส่วนประกอบย่อย  ด้านรูปร่าง หน้าตา แววตา ที่แสดงออกโน้มน้าวให้เกิดความสนใจ  พุ่งตรงไปยังกิริยาบางอย่างของสิ่งเป็นธรรมชาตินั้น  ได้แก่  กิริยาของธรรมชาติ  กำลังเคลื่อนไหวด้วยกิริยาทางกายภาพ  หรือเคลื่อนไหวด้วยความเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบข้างของกายภาพ  เช่น  แสง  เงา  ตำแหน่งที่เป็นเด่น  ไม่เป็นเด่น  ความหนาแน่นของมวลอากาศ  เป็นต้น
3.4.3  ความแตกต่าง , ความแปลกใหม่ เป็นความงามที่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา  ฤดูกาล  คุณลักษณะเด่น  ลักษณะด้อยที่แอบแฝงหรือแตกต่างไปจากพันธุกรรมเดิม เช่น งูมีลวดลายที่ผิวหนังสวยงาม  แตกต่างจากงูธรรมดา  งูที่มีสีขาวเผือก  ผิดไปจากพันธุกรรมเดิม  หรือแมวสีขาวมีตาสีฟ้าหนึ่งข้าง  สีเหลืองอัมพันอีกหนึ่งข้าง  เป็นต้น
3.4.4  ความเป็นระเบียบ   เรียงรายเป็นลำดับ   ลดหลั่นเป็นจังหวะ    ในลักษณะถดถอย ก้าวหน้า  เป็นแถวเป็นแนว ให้ความรู้สึกเรียบร้อย ไม่สะดุดตาตรงส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น กลุ่มต้นหมากแดง  มีต้นแม่อยู่ในตำแหน่งกลาง  แตกแขนงแผ่ขยายตอรอบต้นแม่  ลดหลั่นความสูง  ขนาด  เป็นลำดับ  เป็นต้น
3.4.5  ความสดใสสพรั่งของช่วงระยะอิ่มตัวให้ความรู้สึกสดชื่นตื่นตา เช่น ดอกไม้ทอดดอก  ขยายกลีบ  สีสดใสบานสพรั่งอยู่ในช่วงระยะหนึ่ง  เป็นต้น
3.4.6   ความยิ่งใหญ่ ความงามของธรรมชาติ  เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความน่าทึ่ง  มีอำนาจดึงดูด  ให้ความรู้สึก  เท่ห์  สง่า  น่าเกรงขาม  น่ารักน่าชัง  อบอุ่น  หนาวเหน็บ  เช่น  ความยิ่งใหญ่ของภูเขา  ต้นไม้ใหญ่  ลูกสุนัขพันธุ์ต่าง ๆ เป็นต้น
ความงามของธรรมชาติ  เมื่อครบกำหนดอายุก็เริ่มสลายโรยรา  เช่น  สีที่เคยให้ความสดใส  อิ่มเอิบ  นุ่มนวล  ชุ่มฉ่ำ  ก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นเฉาแห้ง  แข็งกรอบ  ไปตามกาลเวลา  ความงามของธรรมชาติจึงเป็นแหล่งวัตถุดิบที่ให้คุณค่าทางความงามเบื้องต้น    ที่มนุษย์สืบค้นหาความหมายของความงาม  ให้กับรูปแบบต่าง ๆ  พลังความงามจากธรรมชาตินี้เอง    จะเป็นวัตถุดิบในการประเมินค่าความงาม   เป็นเกรด  เป็นอันดับของการเลือกสรร

3.5  คุณค่าความงามในศิลปะ
    ความงามของศิลปะ  เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นจากแรงบันดาลใจที่ได้จากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  ซึ่งมีเกณฑ์ความงามที่ควรพิจารณาด้านต่าง ๆ ดังนี้  
3.5.1. ต้องให้คุณค่าความเพลิดเพลิน ความงามในศิลปะมาจากความเพลิดเพลิน เพราะความงามโดยไม่เอาความจำเป็นอื่นใดเข้าไปตำหนิเป็นเกณฑ์ตัดสิน  วิพากษ์วิจารณ์  หรือพลังบางชนิดเกี่ยวกับความงาม  ส่งออกมาปะทะความรู้สึกครั้งแรก  เช่น  เมื่อเราได้ยินเสียงเพลงทำให้เราเกิดความวูบวาบ    และชอบขึ้นในความรู้สึกลึก ๆ   แล้วค่อยเอ่อล้นออกมาแทบทะลักทลายอย่างไร้เหตุผล  ประดุจการมองผลงาน                    ศิลปกรรมแบบไร้เดียงสาของเด็ก  เป็นต้น
3.5.2   สามารถค้นหาคุณค่าความงามตามระบบเหตุผลเชิงกฏเกณฑ์ได้  เช่น  ความถูกต้อง  แม่นยำ  แจ่มชัด  กลมกลืนของประติมากรรมกรีก   ท่ารำมาตรฐานของนาฏศิลป์ และ การเรียบเรียงเสียงประสานตามกฏเกณฑ์ทางดนตรี  เป็นต้น
3.5.3  ต้องรู้จักมองและเลือกเน้นลักษณะเด่น  ซึ่งมีเสน่ห์ดึงดูดใจ  ทำให้เกิดการหยั่งรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น    เช่น  รูปร่างหน้าตาของภาพบุคคลในงานศิลปกรรม  สามารถโน้มน้าวจิตใจให้คล้อยตาม  คือ  เพ่งมองเค้าเงื่อนของคุณสมบัติต่าง ๆ ซึ่งแสดงถึงรายละเอียดและลักษณะนิสัยที่สำคัญ (นิพาดา  เทวกุล  2531 : 42)
3.5.4 คุณค่าทางเทคนิค  เป็นคุณค่าของการใช้วัสดุเครื่องมือต่างๆที่นำมาใช้สร้างสรรค์ผลงานศิลปกรรม   เช่นความงามจากการทอผ้าไหมของไทย  การใช้แสง สี เสียงในเทคนิคทางนาฏศิลป์ หรือการใช้อีเลคโทรนิคทางดนตรีเข้าช่วยในการบรรเลงดนตรี
3.5.5 คุณค่าขององค์ประกอบทางศิลปะที่มีอยู่ในงานศิลปะ  เช่น  จังหวะของเส้น  ปริมาตรของรูปทรง  ระยะที่เว้นว่าง  แสง  เงาและสี  หรือลีลา จังหวะและทำนองเพลงเป็นต้น 
การใช้สีสัน  ทั้ง 3 ประการจะเกี่ยวโยงกับความหนักเบา  ลีลา  และจังหวะเป็นสำคัญ
3.5.6 ความละเอียด ประณีต ผลงานศิลปกรรมจะต้องแสดงความละเอียด  ประณีต  เช่น  ได้ความรู้สึกว่า  ใช้เส้นละเอียด  พิถีพิถัน  แนบเนียน  เป็นต้น
จากเกณฑ์ที่กล่าวมา  ความงามทางด้านศิลปกรรมเป็นความสำนึกในคุณค่าทางความงามที่ศิลปินนำมาแสดงออก  และสร้างสมสืบทอดต่อเนื่องเป็นมรดกทางชาติต่อ ๆ มา  ฉะนั้นประสบการณ์ด้านความงามที่ได้จากการสัมผัสรับรู้จึงขึ้นอยู่กับคุณค่าทางศิลปะที่ผู้สรางหรือศิลปิน  ถ่ายทอดโดยสัมพันธ์กับรสนิยมของผู้รับรู้เป็นสำคัญ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น